เปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมาย จนเงินหรือจนปัญญา
Posted: Sat Apr 30, 2022 6:35 am
สถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดอย่างรวดเร็วและรุนแรง ต้นตอสำคัญมาจากการพนันไม่ว่าจะเป็นบ่อนการพนันเถื่อน บ่อนไก่ รวมถึงเมื่อครั้งที่แล้วก็คือการพนันในสนามมวยลุมพินี
หัวหน้าพรรคกล้า ประกาศถ้าเป็นรัฐบาลจะเอา “การพนันที่มีใบอนุญาตบนโต๊ะ มีกฎหมายรองรับ มีการกำกับดูแล และมีการเสียภาษีให้รัฐเข้าระบบ เพื่อนำเม็ดเงินกลับมาใช้จ่ายดูแลประชาชน แทนการเข้ากระเป๋ามาเฟีย”
รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ก็ประกาศอยากฟังประชาชนให้ความเห็นว่าจะมีบ่อนถูกกฎหมายดีหรือไม่
มีข้อสังเกตประการหนึ่ง คือ ยามใดที่มีการเสนอแนวคิดว่าจะเปิดบ่อนการพนันออกมาอย่างถูกกฎหมายดีไหม ยามนั้น ฝ่ายที่ยึดกุมอำนาจรัฐอยู่ก็มักจะตกอยู่ในภาวะ “จนตรอก” หากรัฐบาลไม่จนเงิน ขาดเงิน ขาดรายได้มาใช้จ่าย รัฐบาลก็คงจะอับจน จึงพยายามปลุกกระแสการพนันขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
อีกครั้งกับการทำอบายให้ถูกกฎหมาย
1) สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำในโอกาสและรายได้สูงมาก ผู้ด้อยโอกาสไม่ว่าจะประกอบอาชีพด้วยความขยันขันแข็งอย่างไร โอกาสที่จะเปลี่ยนสถานะและประสบความสำเร็จเป็นเรื่องยากลำบาก ซึ่งอาจจะมีโอกาสน้อยยิ่งกว่าการเล่นการพนัน จึงหวังเสี่ยงโชคเผื่อฟลุก ปลอบประโลมใจว่าจะมีบางสิ่งดลบันดาลให้สามารถร่ำรวยได้ในพริบตา สิ่งนี้จึงมีส่วนที่ทำให้คนไทยชอบเล่นการพนัน และก็จะมีคนจำนวนหนึ่งอ้างว่าสันดานคนไทยก็เป็นเช่นนี้คือชอบเล่นการพนัน เมื่อเลิกไม่ได้ก็ให้เล่นถูกกฎหมายเสียเลย
ในความเป็นจริงแล้วการพนันทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือบ่อนการพนัน ยิ่งสร้างความแตกต่างเหลื่อมล้ำของคนในชาติให้มากขึ้นไปอีก
2) อ้างกันเรื่อยเปื่อยว่า หากเปิดบ่อนการพนันแล้ว จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ
อ้างว่า ธุรกิจการพนันมีเงินหมุนเวียนสูงกว่าหนึ่งแสนล้านบาท
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เงินหมุนเวียนในการพนันนั้นไม่มีคุณค่าต่อระบบเศรษฐกิจเท่าใดนัก
คนละเรื่องกับเงินหมุนเวียนที่เกิดจากการซื้อสินค้าและบริการในตลาดค้าขายทั่วไป
เพราะการเล่นพนันในบ่อน เงินได้เสียระหว่างคนเล่นกับเจ้ามือ เป็นเพียงการโอนเงินจากคนหนึ่งไปให้อีกคนหนึ่งโดยเงินของคนเล่นเสียก็ตกไปเป็นของคนที่เล่นได้
จำนวนเงินรวมทั้งหมด เท่าเดิม
มิได้ผลิตสินค้าหรือบริการใดเพิ่มขึ้น จึงไม่เพิ่มรายได้ของระบบเศรษฐกิจส่วนรวม
ไม่เหมือนซื้อสินค้า ที่จะทำให้เกิดการผลิต และเกิดการหมุนเวียนทรัพยากรการผลิตต่างๆ ตามมา
การพนันจึงไม่เกิดคุณค่าแก่สังคมส่วนรวม
หากภาครัฐจะได้บ้าง ก็คงจะเป็นภาษีที่เก็บได้จากเจ้ามือที่ไปเอาเงินของผู้เล่นมาอีกต่อหนึ่ง หรือถ้ารัฐเป็นเจ้ามือเองก็คงเพียงแต่กินเงินชาวบ้านมาเข้ากระเป๋าตนเท่านั้นเอง
ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับต้นทุนทางสังคม ผลกระทบและความเสียหายที่มีต่อทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งต้องเสียเวลา เสียโอกาสการทำมาหากินที่เป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ สามารถเพิ่มผลิตผลที่มีคุณค่ามากกว่านี้
ยังไม่นับถึงปัญหาสังคม ปัญหาอาชญากรรม และการทำผิดกฎหมายอื่นๆ เช่น การฆ่าตัวตาย การจี้ ปล้น ลักทรัพย์ การยักยอกเงินบริษัท การเบี้ยวหนี้ธุรกิจ การทุบตีภรรยา การแย่งชิงมรดก การละทิ้งลูกเมียพ่อแม่ ฯลฯ ตลอดจนค่านิยมในสังคมที่จะผิดเพี้ยนมากขึ้นไปอีก
3) อ้างกันอีกว่า มีบ่อนชายแดนไทย ทำให้เงินไหลออกไปเล่นบ่อนชายแดน เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
อันที่จริง ถ้ารู้ขนาดนี้ ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า เจ้าของบ่อนชายแดนส่วนใหญ่นั้นก็เป็นคนไทย
เพราะฉะนั้น ถ้านักพนันไทยเล่นได้ เงินก็นำเงินกลับเข้าประเทศ ถ้าเจ้าของบ่อนได้ก็นำรายได้กลับเข้าประเทศ
แต่อันที่จริง หากไม่ต้องการให้คนออกไปเล่นการพนันบ่อนชายแดนจริงๆ ก็ยังมีหลากหลายวิธีที่ป้องกันและปราบปรามอย่างได้ผล เช่น การเข้มงวดเอาจริงกับการตรวจตราวิธีผ่านด่านชายแดน การควบคุมการนำเงินเข้าออก รวมถึงกลวิธีแก้เผ็ดดัดสันดานนักพนันตามชายแดนอีกมากมาย เป็นต้น
4) อ้างกันว่า เมื่อมีบ่อนการพนันถูกกฎหมายแล้วก็จะได้แก้ปัญหาบ่อนเถื่อน บ่อนกลางกรุง บ่อนวิ่ง บ่อนลอยฟ้าฯลฯ ข้อนี้ ก็เป็นข้ออ้างเลื่อนลอยอย่างยิ่ง
ไม่มีหลักประกันใดเลยว่า เมื่อมีบ่อนถูกกฎหมายแล้วจะไม่มีบ่อนเถื่อน
ที่ผ่านมา เมื่อมีสลากกินแบ่งรัฐบาล หวยรัฐบาล ก็ยังปรากฏว่า มีหวยเถื่อนแพร่ระบาด
ปัญหาอยู่ที่ตำรวจและผู้มีอำนาจรัฐ จะเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามบังคับใช้กฎหมายหรือไม่
เราจะต้องบอกให้ผ่าตัดเปลี่ยนแปลงตำรวจไปอีกนานเท่าไร จะต้องให้สังคมเสื่อมไปอีกเท่าไร จึงสามารถพัฒนาตำรวจไทยได้
ถ้าเอาจริง เชื่อแน่ว่าจะปราบสิ่งผิดกฎหมายได้ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็จะต้องลดน้อยลงกว่านี้มาก (ไม่ว่าจะหวยใต้ดิน บ่อนเถื่อน หรือการออกไปเล่นพนันตามบ่อนชายแดน)
5) มีข้ออ้างใหม่ว่า หากมีบ่อนถูกกฎหมายเพิ่มขึ้นแข่งขันกับบ่อนที่มีอยู่เดิม คงจะแย่งลูกค้ามาเข้าบ่อนใหม่ที่ถูกกฎหมาย รัฐจะได้เงินภาษีเพื่อนำมาใช้ในการกวดขันปราบปรามการเล่นการพนัน ตลอดจนรณรงค์ให้คนหยุดเล่นการพนัน
น่าสนใจว่า หากงบประมาณเพื่อใช้ในการกวดขันปราบปรามและรณรงค์ดังกล่าวมีประโยชน์ เหตุใดไม่นำเงินงบประมาณทั่วไปมาใช้ การเพิ่มจำนวนบ่อนที่ถูกกฎหมายจะเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดหรือไม่ ว่ารัฐก็ส่งเสริมการพนันและอยากได้เงินจากการพนัน ไม่ต่างอะไรกับเจ้าของบ่อนการพนัน ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของรัฐ ที่ต่างก็อยากได้เงินจากการพนัน การพนันจึงกลายเป็นสินค้าที่ผู้มีอำนาจปรารถนา และอยากได้เงิน
กรณีนี้จึงต่างกับกรณีเก็บภาษีบาปจากเหล้าและบุหรี่มาใช้เพื่อรณรงค์ให้หยุดเหล้าหยุดบุหรี่ เพราะเหล้าและบุหรี่เป็นกิจการที่มีอยู่แล้วโดยรัฐเป็นเจ้าของ สัมปทานโรงเหล้า โรงเบียร์ และเป็นผู้ผลิตบุหรี่เสียเอง
6) บ่อนการพนันถูกกฎหมายยังจะเป็นแหล่งฟอกเงิน เป็นรากฐานขององค์กรอาชญากรรม และการทุจริตทางการเมือง เป็นช่องทางผ่องถ่ายผลประโยชน์จากการคอร์รัปชัน และธุรกิจอิทธิพลนอกกฎหมาย
คงจำได้ อดีตนักการเมือง รมต.รักเกียรติ สุขธนะ เคยอ้างต่อศาลในคดีทุจริตว่า ตนเองได้เงินมาจากการเล่นการพนัน มิใช่การโกง แต่ยังดีที่กรณีนั้น ป.ป.ช. มีหลักฐานอื่นมาโต้แย้ง ทำให้จำนนด้วยข้อเท็จจริง
หากเปิดบ่อนการพนันได้จริง นักการเมืองบ้านเราจะฮั้วกับผู้มีอำนาจรัฐที่ดูแลบ่อน ทำการปลอมแปลงเอกสาร หรืออาศัยบ่อนการพนันในเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์เป็นเครื่องมือฟอกเงินหรือปิดบังอำพรางการทุจริตประพฤติมิชอบของพวกตนได้ง่ายขึ้นหรือไม่
7) หากเข้าใจว่าประเทศไทยไม่เคยมีบ่อนการพนันอย่างถูกกฎหมาย ย่อมเป็นความเข้าใจผิดมหันต์
ในความเป็นจริง เราเคยมีบ่อนถูกกฎหมายในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดบ่อนจะได้รับชื่อบรรดาศักดิ์ว่า “ขุนพัฒนสมบัติ” สมัยนั้นทางการสามารถเก็บอากรบ่อนเบี้ยได้ปีละ 260,000 บาท
ถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ยังได้กำหนดภาษีการพนันเพิ่มขึ้นจากอากรบ่อนเบี้ย และสามารถเก็บภาษีได้ปีละ 500,000 บาทกระทั่งในปี พ.ศ. 2413 เฉพาะในแขวงกรุงเทพฯ ก็ยังมีบ่อนใหญ่ประจำอยู่ 126 ตำบล และยังมีบ่อนเบี้ยขนาดเล็กอีกประมาณ 277 ตำบล
แต่ในที่สุด ถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้เลิกบ่อนการพนัน ด้วยพระองค์ทรงเห็นว่า การมีราษฎรมัวเมาในการพนันย่อมเป็นเหตุนำไปสู่ความวิบัติ ทั้งส่วนตัวและส่วนรวมในความมั่นคงของประเทศชาติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการปรับปรุงงานพระคลัง เพื่อหารายได้อื่นมาทดแทนรายได้จากอากรบ่อนเบี้ย โดยมีประกาศเริ่มลดจำนวนบ่อนลงเรื่อยๆ จนเหลือบ่อนอยู่เพียง 9 ตำบล ใน พ.ศ. 2453 แต่กว่าจะเลิกบ่อนการพนันในประเทศไทยได้ ก็แสนยากลำบาก กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงได้มีประกาศปิดบ่อนทั่วราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2460
พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริหลายประการเกี่ยวกับบ่อนการพนัน ซึ่งพสกนิกรอย่างพวกเราน่าจะน้อมใส่เกล้าฯ เช่น เมื่อครั้งเสด็จฯ ประพาสยุโรป ครั้งที่ 2 ไปเมืองมอนติคาร์โล เมืองแห่งการพนัน ทรงเรียนตำราเล่นการพนันต่างๆ
ในบ่อนการพนัน และทรงบันทึกในพระราชหัตถเลขาดังพระราชหัตถเลขา รัชกาลที่ 5 พระราชทานกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พ.ศ. 2450 ความบางตอนว่า
”…ได้เรียนตำราเล่นเบี้ยอย่างฝรั่งเข้าใจข้อซึ่งเข้าใจกันว่าเล่นไม่น่าสนุกนั้นไม่จริงเลยสนุกยิ่งกว่าอะไรๆ หมดถ้าชาวบางกอกได้รู้ไปเล่นแล้วฉิบหายกันไม่เหลือ ถ้าหากว่าไปถึงเมืองเราเข้าเมื่อไรจะรอช้าแต่สักวันเดียวก็ไม่ควร ต้องห้ามทันที”
นอกจากนี้ พระปิยมหาราชยังทรงอรรถาธิบายถึงเหตุผลที่จำเป็นต้องเลิกบ่อนเบี้ยการพนันไว้ในพระราชนิพนธ์ “พระราชพิธีสิบสองเดือน” พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพพลเอกพระวรวงศ์เธอกรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ความบางตอนว่า
“การที่พระเจ้าแผ่นดินอนุญาตหรือทรงเห็นดีด้วยในเรื่องเล่นเบี้ยนี้ก็คงจะเป็นความจริง แต่คงจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินบางองค์… เพราะเหตุฉะนั้นถึงแม้ว่าพระเจ้าแผ่นดินภายหลังจะมิได้เลิกธรรมเนียมยกหัว เบี้ยพระราชทาน ในเวลาตรุษเวลาสงกรานต์เสียก็ดี แต่ก็ไม่ได้โปรดให้เล่นเบี้ยในพระราชวังหรือทรงสรรเสริญการเล่นเบี้ยว่าเป็น การสนุกสนานอย่างหนึ่งอย่างใดเลย
เพราะเหตุที่พระบรมราชวงศ์ปัจจุบันนี้ พระเจ้าแผ่นดินดำรงอยู่ในคุณความประพฤติดี 3 ประการ คือ
- ไม่ทรงประพฤติและทรงสรรเสริญในการที่เป็นนักเลงเล่นเบี้ยการพนันอย่าง 1
- ไม่ทรงประพฤติในการดื่มสุราเมรัยและกีดกันมิให้ผู้อื่นประพฤติอย่าง 1
- ไม่ทรงประพฤติล่วงในสตรีที่เป็นอคมนียฐานนี้อย่าง 1
แต่การเล่นเบี้ยนั้น เป็นที่ไม่ต้องพระอัธยาศัยมาทุกๆ พระเจ้าแผ่นดิน เพราะฉะนั้น ควรที่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการผู้ซึ่งมีความนับถือเคารพต่อพระบารมีและพระเดชพระคุณพระเจ้าแผ่นดินสืบๆ กันมา ควรจะคิดตริตรองให้เห็นโทษเห็นคุณตามที่จริง และงดเว้นการสนุก และการหาประโยชน์ในเรื่องเล่นเบี้ยนี้เสีย จะได้ช่วยกันรับราชการฉลองพระเดชพระคุณทำนุบำรุงแผ่นดิน เพิกถอนความชั่วในเรื่องเล่นเบี้ยซึ่งอบรมอยู่ในสันดานชนทั้งปวงอันอยู่ในพระราชอาณาเขต เป็นเหตุจะเหนี่ยวรั้งความเจริญของบ้านเมืองให้เสื่อมสูญไป
ด้วยกำลังที่ช่วยกันมากๆ และเป็นแบบอย่างความประพฤติให้คนทั้งปวงเอาอย่าง ตามคำนักปราชญ์ย่อมกล่าวว่าการที่ทำให้เห็นเป็นแบบอย่างง่ายกว่าที่จะสั่งสอนด้วยปาก ถ้าเจ้านายขุนนางประพฤติเล่นเบี้ยอยู่ตราบใด คนทั้งปวงก็ยังเห็นว่าไม่สู้เป็นการเสียหายมาก ผู้มีบรรดาศักดิ์จึงยังประพฤติอยู่ ถ้าผู้มีบรรดาศักดิ์ละเว้นเสีย ให้เห็นว่าความพยายามเช่นนั้นเป็นของคนต่ำช้าประพฤติแล้ว ถึงแม้จะเลิกขาดสูญไปไม่ได้ก็คงจะเบาบางลงได้เป็นแท้…”
8) อยากเสนอให้ผู้ที่ต้องการนำการพนันขึ้นบนโต๊ะให้ถูกกฎหมายเพื่อหวังจะเป็นรายได้ให้รัฐ ลองถามตัวเองง่ายๆ ว่า
“ถ้าภรรยาหรือสามีของเรา ตกเป็นทาสของการพนัน เราจะสบายใจอยู่ไหม
ถ้าลูกสาว ลูกชายของเรา ตกเป็นทาสของการพนัน เราจะพอใจ สุขสบายใจได้ไหม…”
เชื่อว่านายกรัฐมนตรีที่เป็นอดีตนายทหารใหญ่ และนักการเมืองใหญ่ทั้งหลายที่มีครอบครัวที่อบอุ่น คงจะมีความตระหนักถึงความสำคัญของการหลีกเลี่ยง ป้องกันมิให้คนในครอบครัวของคนไทยและครอบครัวของตนตกเป็นทาสการพนัน